หากคุณได้เดินเล่นไปตามกำแพงอิฐเก่าที่ทอดยาวกั้นระหว่างสุสานโปรเตส-แตนต์และสุสานคาทอลิกในเมืองโรมอนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ คุณจะพบภาพหนึ่งที่น่าสนใจ คือภาพแผ่นหินจารึกหน้าหลุมศพที่สูงตระหง่านสองแผ่นวางติดกำแพงสองฝั่ง แผ่นหนึ่งสำหรับสามีโปรเตสแตนต์ และอีกแผ่นหนึ่งสำหรับภรรยาคาทอลิก ธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงศตวรรษที่ 19 กำหนดว่าพวกเขาจะต้องฝังในสุสานที่แยกจากกัน แต่พวกเขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น แผ่นหินหน้าหลุมศพที่ไม่ธรรมดานี้จึงสูงเหนือกำแพงที่เป็นรั้วกั้น เพื่อว่าที่ด้านบนสุดจะมีช่องว่างเพียงประมาณหนึ่งหรือสองฟุตเท่านั้นที่แยกพวกเขาออกจากกัน ที่ด้านบนสุดของแผ่นหินทั้งสอง มีการแกะสลักเป็นรูปแขนที่ยื่นออกไปจับมือกันไว้ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะแยกจากกันแม้ในความตาย
เพลงซาโลมอนอธิบายถึงพลังแห่งความรัก ซาโลมอนกล่าวว่า “เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย” (8:6) รักแท้นั้นทรงพลังและรุนแรง “ประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง” (ข้อ 6) รักแท้ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่นิ่งเงียบ และไม่อาจถูกทำลายได้ ซาโลมอนได้เขียนไว้ว่า “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ อุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้” (ข้อ 7)
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:16) ความรักที่แข็งแกร่งที่สุดของเราเป็นเพียงภาพสะท้อนถึงเศษเสี้ยวของความรักอันทรงพลังที่พระองค์มีต่อเรา พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาทั้งหมดของความรักที่แท้จริงและมั่นคง
วันที่ 14 มีนาคม 2019 จรวดของนาซ่าถูกจุดระเบิดขึ้นเพื่อส่งนักบินอวกาศคริสติน่า คอชขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ คอชจะไม่กลับมาที่โลกเป็นเวลา 328 วัน นี่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีสถิติการบินในอวกาศเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุด ทุกวันเธอใช้ชีวิตอยู่เหนือจากพื้นโลกประมาณ 408 กิโลเมตร มีหน้าจอคอยจับเวลาของนักบินอวกาศทุกห้านาที เธอมีรายการที่ต้องทำมากมาย(ตั้งแต่กินข้าวไปจนถึงการทดลอง) แต่ละชั่วโมงผ่านไป เส้นสีแดงขยับทีละนิดบนหน้าจอเพื่อแสดงว่าคอชกำลังนำหน้าหรือตามหลังตารางงาน ไม่มีการเสียเวลาเลย
แน่นอนว่าอัครทูตเปาโลไม่แนะนำให้มีสิ่งที่รุกล้ำชีวิตเหมือนกับเส้นสีแดงนี้ที่กำหนดชีวิตเรา แต่ท่านก็หนุนใจให้เราใช้เวลาอันมีค่าที่มีอย่างจำกัดด้วยความระมัดระวัง “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี” ท่านเขียน “อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว” (อฟ.5:15-16) พระปัญญาของพระเจ้าชี้แนะให้เราใช้แต่ละวันด้วยความตั้งใจและระมัดระวัง เพื่อฝึกฝนที่จะเชื่อฟังพระองค์ ที่จะรักเพื่อนบ้าน และเพื่อจะมีส่วนร่วมในพันธกิจแห่งการทรงไถ่ของพระเยซูที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องบนโลกนี้ แต่น่าเศร้าใจที่เรามีแนวโน้มที่จะละเลยคำแนะนำแห่งสติปัญญาและใช้เวลาอย่างโง่เขลา (ข้อ 17) โดยการเสียเวลาไปกับการไล่ตามสิ่งที่เห็นแก่ตัวและไม่เป็นผลดี
ประเด็นสำคัญไม่ใช่การกระวนกระวายอยู่กับเรื่องเวลา แต่คือการติดตามพระเจ้าด้วยความเชื่อฟังและไว้วางใจ พระองค์จะช่วยให้เราใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่า
เป็นเวลาหลายปีที่กลุ่มประเทศทางภาคตะวันออกในบริเวณที่เรียกว่าจะงอยแอฟริกาต้องทนทุกข์จากภัยแล้งอันโหดร้ายซึ่งทำลายพืชผล ทำให้ปศุสัตว์ล้มตาย และทำให้คนนับล้านตกอยู่ในอันตราย สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกในท่ามกลางประชากรที่อ่อนแอที่สุด เช่นผู้คนในค่ายผู้ลี้ภัยคาคูมาของเคนย่าที่หนีจากสงครามและการกดขี่ข่มเหง รายงานล่าสุดบรรยายถึงคุณแม่ยังสาวที่พาลูกน้อยไปหาเจ้าหน้าที่ค่าย ทารกน้อยทุกข์ทรมานจากภาวะขาดสารอาหารจนทำให้ “ผมและผิวหนังของเธอ...แห้งและเปราะ” เธอไม่ยิ้มและไม่ยอมกินอะไร ร่างเล็กๆของเธอกำลังจะหมดลม ผู้เชี่ยวชาญจึงเข้าช่วยเหลือทันที ยังดีที่แม้ว่าความต้องการยังคงมีมหาศาล แต่ก็ได้มีการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานขึ้นเพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยชีวิต
สถานที่สิ้นหวังเหล่านี้เป็นที่ที่คนของพระเจ้าถูกเรียกให้ฉายแสงและสำแดงความรักของพระองค์ (อสย.58:8) เมื่อผู้คนอดอยาก เจ็บป่วย หรือถูกคุกคาม พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้เป็นคนแรกที่จัดเตรียมอาหาร ยา และความปลอดภัยทั้งสิ้นในพระนามพระเยซู อิสยาห์ตำหนิคนอิสราเอลในอดีตที่คิดว่าพวกเขาสัตย์ซื่อกับการอดอาหารและอธิษฐาน แต่ละเลยการกระทำที่แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจเมื่อเกิดวิกฤติ เช่น การแบ่งปัน “อาหารของเจ้าให้กับผู้หิว” นำ “คนยากจนไร้บ้านเข้ามาในบ้าน” และคลุมกาย “คนเปลือยกาย” (ข้อ 7)
พระเจ้าทรงปรารถนาให้ผู้ที่หิวได้รับอาหารทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ และพระองค์จะทรงทำงานในเราและผ่านทางเราในขณะที่พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการของคนเหล่านั้น
เดือนมิถุนายนปี 2016 ในระหว่างงานพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ 90 ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธ พระองค์ทรงประทับบนรถม้าพร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชน ขณะที่รถม้าวิ่งผ่านทหารในเครื่องแบบสีแดงซึ่งยืนเรียงกันเป็นแถวยาวด้วยอาการสงบนิ่ง วันนั้นเป็นวันที่อากาศอบอุ่นในประเทศอังกฤษ และทหารองครักษ์สวมเครื่องแบบสำหรับพระราชพิธีที่ตัดเย็บจากผ้าขนแกะกางเกงสีดำ เสื้อแขนยาวที่ติดกระดุมสูงจรดคางและหมวกยอดประดับพู่ใบใหญ่ขณะที่ทหารยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบภายใต้แสงอาทิตย์ ทหารองครักษ์คนหนึ่งมีอาการหน้ามืด เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามควบคุมการทรงตัวเอาไว้อย่างเคร่งครัดก่อนจะล้มฟาดลงไปข้างหน้า ตัวของเขายังคงตรงราวกับไม้กระดานขณะที่หน้าของเขาคว่ำลงบนพื้นกรวด เขานอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นในท่าที่ตัวยังคงเหยียดตรงอยู่
ทหารองครักษ์คนนี้ต้องใช้เวลาหลายปีในการฝึกวินัยเพื่อเรียนรู้การควบคุมตนเองและร่างกายให้ได้แม้ในยามที่เขาล้มหมดสติ อัครทูตเปาโลบรรยายถึงการฝึกฝนเช่นนี้ว่า “แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ” (1 คร.9:27) เปาโลยอมรับว่า “นักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ” (ข้อ 25)
แม้ว่าพระคุณของพระเจ้า (ไม่ใช่ความพยายามของเรา) จะช่วยค้ำจุนทุกสิ่งที่เราทำ แต่ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราก็สมควรได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวด เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามีวินัยทั้งทางความคิด จิตใจ และร่างกาย เราจะเรียนรู้ที่จะจดจ่ออยู่ที่พระองค์ แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับการทดลองหรือสิ่งรบกวน
ลินดิสฟาร์นหรือที่รู้จักกันในชื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์ เป็นเกาะในอังกฤษที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยถนนแคบๆซึ่งจะปรากฏตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง น้ำทะเลจะขึ้นสูงท่วมทางนั้นวันละสองครั้ง มีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวถึงอันตรายจากการข้ามทางในช่วงน้ำขึ้น แต่นักท่องเที่ยวมักเพิกเฉยต่อคำเตือน และมักจะลงเอยด้วยการนั่งบนหลังคารถที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือว่ายน้ำไปที่กระท่อมหลบภัยบนที่สูงเพื่อรอรับการช่วยเหลือ กระแสน้ำเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้เหมือนกับการที่ดวงอาทิตย์ขึ้น และมีคำเตือนอยู่ทั่วทุกแห่งซึ่งไม่มีทางที่คุณจะมองไม่เห็น ดังที่นักเขียนคนหนึ่งบรรยายไว้ว่า ลินดิสฟาร์นเป็น “ที่ซึ่งคนไม่ยั้งคิดพยายามจะเอาชนะกระแสน้ำ”
พระธรรมสุภาษิตบอกเราว่าการ “ขาดความยับยั้งและสะเพร่า” เป็นเรื่องโง่เขลา (14:16) คนที่ขาดความยับยั้งจะไม่สนใจสติปัญญาหรือคำแนะนำของคนฉลาด และไม่สนใจหรือไม่ระวังในการกระทำสิ่งต่างๆ (ข้อ 7-8) แต่ทว่าสติปัญญาจะทำให้เราช้าลงเพื่อที่จะฟังและไตร่ตรอง เพื่อเราจะไม่ถูกอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรือความคิดครึ่งๆกลางๆนำพาไป (ข้อ 16) ปัญญาสอนให้เราตั้งคำถามที่เหมาะสมและพิจารณาผลจากการกระทำของเรา ในขณะที่คนขาดความยับยั้งจะพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์หรือผลที่ตามมา หรือแม้กระทั่ง ความจริง “คนหยั่งรู้มองดูว่าเขากำลังจะไปทางไหน” (ข้อ 15)
แม้ว่าบางครั้งเราจะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดหรือรวดเร็ว แต่เราไม่จำเป็นต้องทำโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ เมื่อเรารับเอาสติปัญญาจากพระเจ้าและนำมาปฏิบัตินั้น พระองค์จะประทานการทรงนำที่จำเป็นให้ในยามที่เราต้องการ
ชายคนหนึ่งถูกว่าจ้างโดยผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต ให้ไปร่วมงานศพและเปิดเผยความลับที่พวกเขาไม่เคยบอกใครขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายคนนั้นได้ขัดจังหวะช่วงการกล่าวยกย่องผู้ตาย เขาขอให้คนจัดงานในพิธีที่ตกตะลึงนั่งลงเมื่อคนเหล่านั้นเริ่มจะขัดขวาง ทันทีที่ลุกขึ้นเขาก็บรรยายว่าชายในโลงศพนั้นถูกรางวัลลอตเตอรี่แต่ไม่เคยบอกใคร และแสร้งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมานานหลายสิบปี มีหลายครั้งที่ชายผู้ถูกจ้างมานี้ต้องสารภาพเรื่องการนอกใจกับคู่สมรสของผู้ตาย อาจมีคนตั้งคำถามว่าการกระทำเหล่านี้เกิดจากความตั้งใจดีหรือเป็นการหาประโยชน์จากสถานการณ์กันแน่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความหิวกระหายของผู้คนที่จะได้รับการยกโทษจากบาปในอดีต
การมีคนอื่นสารภาพบาปแทนเรา (โดยเฉพาะหลังจากที่เราตายไปแล้ว) เป็นวิธีที่ไร้ประโยชน์และเสี่ยงในการจัดการกับความลับ แต่เรื่องราวเหล่านี้เผยให้เห็นความจริงอันลึกซึ้ง นั่นคือ เราจำเป็นต้องสารภาพบาปเพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกของตัวเอง การสารภาพชำระเราจากบาปที่เราซ่อนไว้ซึ่งทำให้ทุกข์ระทม ยากอบกล่าวว่า “จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย” (5:16) การสารภาพบาปปลดปล่อยเราจากภาระที่ผูกมัดเราไว้ ให้อิสระแก่เราที่จะพูดคุยกับพระเจ้าได้อย่างสนิทสนม โดยการอธิษฐานเปิดใจกับพระองค์และกับชุมชนแห่งความเชื่อของเรา คำสารภาพนั้นทำให้เกิดการเยียวยารักษา
ยากอบเชื้อเชิญให้เราใช้ชีวิตที่เปิดเผย โดยสารภาพต่อพระเจ้าและคนใกล้ชิดที่สุดถึงความเจ็บปวดและความล้มเหลวที่เราอยากจะฝังเอาไว้ เราไม่จำเป็นต้องแบกภาระเหล่านี้เพียงลำพัง การสารภาพเป็นของขวัญสำหรับเราที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อชำระจิตใจของเราให้สะอาดและปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
คริสตจักรเดิมของเราในรัฐเวอร์จิเนียจะประกอบพิธีบัพติศมาในแม่น้ำริวานน่าซึ่งมักจะมีแสงแดดอันอบอุ่นแต่ทว่าน้ำกลับเย็นจัด หลังจบการนมัสการในวันอาทิตย์ พวกเราจะพากันขึ้นรถและเดินทางไปยังสวนสาธารณะของเมืองที่พวกเพื่อนบ้านชอบมาเล่นจานร่อน และเด็กๆไปรวมตัวกันที่สนามเด็กเล่น ภาพของพวกเราที่เดินไปริมแม่น้ำค่อนข้างดึงดูดความสนใจ ขณะยืนอยู่ในน้ำที่เย็นเยือก ผมจะกล่าวข้อพระคัมภีร์และจุ่มตัวผู้ที่กำลังจะรับบัพติศมาลงในน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความรักของพระเจ้า เมื่อพวกเขาโผล่ขึ้นจากน้ำ โดยเปียกโชกไปทั้งตัวนั้น เสียงแสดงความยินดีและเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อนๆ และครอบครัวจะโอบกอดผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมาไว้จนทุกคนเปียกไปตามๆกัน เรารับประทานเค้ก เครื่องดื่ม และของว่างด้วยกัน เพื่อนบ้านที่มองมาไม่ได้เข้าใจทุกครั้งไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้ว่านี่คือการเฉลิมฉลอง
ในลูกา 15 เรื่องของบุตรน้อยหลงหายที่พระเยซูตรัส (ข้อ 11-32) เปิดเผยว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนกลับมาหาพระเจ้าก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเฉลิมฉลอง ทุกครั้งที่มีคนตอบรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นคือเวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง เมื่อบุตรชายที่ละทิ้งบิดาไปหวนกลับมา ผู้เป็นบิดารีบสั่งการให้แต่งตัวเขาด้วยเสื้อคลุมอย่างดี แหวนที่ส่องประกายแวววาว และรองเท้าคู่ใหม่ “จงเอาลูกวัวอ้วนพีมา” เขาสั่ง “จง...เลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด” (ข้อ 23) งานเลี้ยงใหญ่ที่ครึกครื้นซึ่งทุกคนสามารถมาร่วมสนุกได้ คือวิธีที่เหมาะสมสำหรับการมาร่วม “เฉลิมฉลองกัน” (ข้อ 24)
ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ประกาศการเลิกทาสไปแล้วเป็นเวลานานถึงสองปีครึ่ง โดยที่ฝ่ายสมาพันธรัฐได้ยอมจำนนแล้ว แต่รัฐเท็กซัสยังคงไม่ยอมรับในเสรีภาพของพวกทาส อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1865 นายพลกอร์ดอน เกรนเจอร์แห่งกองทัพสหภาพได้ขี่ม้าไปยังเมืองกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส และเรียกร้องให้ปล่อยทาสทั้งหมด ลองจินตนาการถึงความตกใจและความยินดีเมื่อโซ่ตรวนหลุดออกและผู้ที่ถูกพันธนาการได้ยินเสียงประกาศอิสรภาพ
พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นผู้ที่ถูกกดขี่ และในที่สุดพระองค์จะทรงประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความอยุติธรรม เรื่องนี้เป็นจริงในปัจจุบันเช่นเดียวกับในสมัยของโมเสส พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านจากพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชนพร้อมกับตรัสสิ่งที่สำคัญเร่งด่วนว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว” (อพย.3:7) พระองค์ไม่เพียงเห็นความโหดร้ายที่ชาวอียิปต์กระทำต่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังทรงมีแผนการที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย พระเจ้าทรงประกาศว่า “เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด...และนำเขา...ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง” (ข้อ 8) พระองค์ทรงมีเป้าหมายที่จะประกาศอิสรภาพแก่อิสราเอล และโมเสสคือผู้ที่จะเป็นกระบอกเสียง พระเจ้าตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์” (ข้อ 10)
แม้เวลาของพระเจ้าอาจไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เราคาดหวัง แต่วันหนึ่งพระองค์จะทรงปลดปล่อยเราจากพันธนาการและความอยุติธรรมทั้งสิ้น พระองค์จะประทานความหวังและการปลดปล่อยมาถึงทุกคนที่ถูกกดขี่
ศตวรรษก่อน ป่าที่เขียวขจีได้ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 40%ของประเทศเอธิโอเปีย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ราว 4% การถางพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่อาจพิทักษ์ป่าไว้ได้นำไปสู่วิกฤตด้านนิเวศน์วิทยา พื้นที่สีเขียวขนาดเล็กที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองจากคริสตจักร เป็นเวลาหลายศตวรรษที่คริสตจักรออร์โธดอกซ์ท้องถิ่นเทวาฮิโดแห่งเอธิโอเปียได้ทะนุบำรุงพื้นที่สีเขียวหรือแหล่งน้ำท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง หากคุณดูภาพถ่ายทางอากาศ คุณจะเห็นพื้นที่สีเขียวโดดเดี่ยวล้อมรอบด้วยทรายสีน้ำตาล ผู้นำคริสตจักรยืนยันว่าการดูแลต้นไม้คือส่วนหนึ่งของการเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้อารักขาสิ่งทรงสร้างของพระองค์
อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะเขียนถึงคนอิสราเอลผู้ซึ่งอาศัยในดินแดนแห้งแล้ง เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างและถูกคุกคามด้วยฤดูแล้งอันโหดร้าย และท่านบรรยายถึงอนาคตตามพระประสงค์ของพระเจ้าว่า “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก” (อสย.35:1) พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะรักษาประชากรของพระองค์ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะรักษาโลกด้วย พระองค์จะ “สร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (65:17) ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่นั้น “[ทะเลทราย]จะออกดอกอุดม” (35:2)
การที่พระเจ้าทรงดูแลสิ่งทรงสร้างรวมถึงประชากรของพระองค์ ดลใจให้เราดูแลสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วย เราสามารถดำเนินชีวิตร่วมในแผนการสูงสุดของพระเจ้า เพื่อโลกที่ได้รับการเยียวยารักษานี้ได้ โดยเป็นผู้ดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เราร่วมมือกับพระเจ้าได้ที่จะทำให้ความแห้งแล้งทุกชนิดอุดมไปด้วยชีวิตและความงดงาม